สัญลักษณ์ประจำจังหวัด[แก้]
ประวัติ[แก้]
เดิมคำว่าภูเก็ตนั้นสะกดว่า ภูเก็จ
ซึ่งแปลได้ว่า เมืองแก้ว จึงใช้ตราเป็นรูปภูเขา (ภู) มีประกายแก้ว (เก็จ) เปล่งออกเป็นรัศมี (ดูตราที่ผ้าผูกคอลูกเสือ) ตรงกับความหมายเดิมซึ่งชาวทมิฬเรียก มณิครัม ตามหลักฐาน พ.ศ. 1568 ภูเก็ตเป็นที่รู้จักของนักเดินเรือที่ใช้เส้นทางระหว่างจีนกับอินเดีย โดยผ่านแหลมมลายู หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดก็คือ หนังสือภูมิศาสตร์และแผนที่เดินเรือของคลอดิอุส ปโตเลมี เมื่อประมาณ พ.ศ. 700 กล่าวถึงการเดินทางจากแหลมสุวรรณภูมิลงมาจนถึงแหลมมลายู ซึ่งต้องผ่านแหลม จังซีลอน หรือเกาะภูเก็ต (เกาะถลาง) นั่นเอง[ต้องการอ้างอิง]
จากประวัติศาสตร์ไทย ภูเก็ตเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรตามพรลิงก์ อาณาจักรศรีวิชัย สืบต่อมาจนถึงสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราชเรียกเกาะภูเก็ตว่า เมืองตะกั่วถลาง เป็นเมืองที่ 11 ใน 12 เมืองนักษัตร โดยใช้ตราเป็นรูปสุนัข จนถึงสมัยสุโขทัย เมืองถลางไปขึ้นกับเมืองตะกั่วป่า ในสมัยอยุธยา ชาวฮอลันดา ชาวโปรตุเกส และชาวฝรั่งเศส ได้สร้างสถานที่เก็บสินค้าเพื่อรับซื้อแร่ดีบุกจากเมืองภูเก็ต (ถลาง)
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้เกิดสงครามเก้าทัพขึ้น พระเจ้าปดุง กษัตริย์ของประเทศพม่าในสมัยนั้น ได้ให้แม่ทัพยกทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ เช่น ไชยา นครศรีธรรมราช และให้ยี่หวุ่นนำกำลังทัพเรือพล 3,000 คนเข้าตีเมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง และเมืองถลาง ซึ่งขณะนั้นเจ้าเมืองถลาง (พญาพิมลอัยาขัน) เพิ่งถึงแก่อนิจกรรม ท่านผู้หญิงจัน ภรรยา และคุณมุก น้องสาว จึงรวบรวมกำลังต่อสู้กับพม่าจนชนะเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2328 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงจันเป็น ท้าวเทพกระษัตรี และคุณมุกเป็นท้าวศรีสุนทร
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รวบรวมหัวเมืองชายทะเลตะวันตกตั้งเป็น มณฑลภูเก็ต และเมื่อปี พ.ศ. 2476 ได้ยกเลิกระบบมณฑลเทศาภิบาล เปลี่ยนมาเป็นจังหวัดภูเก็ต
ร่วมสมัย[แก้]
- วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2527 เกิดเหตุไฟไหม้ บ้านเลขที่ 103 ถนนบางกอก อำเภอเมืองภูเก็ต มีผู้เสียชีวิต 5 รายเป็นโสเภณีทั้งหมด
- วันที่ 23-30 มิถุนายน พ.ศ. 2529 รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหลัง[4]เกิดเหตุจลาจลทั่วจังหวัดภูเก็ตเพื่อประท้วงคัดค้านโรงงานแทนทาลัมจนนำไปสู่การเผาโรงงานแทนทาลัม อันเป็นการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ไปสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างสิ้นเชิง
- วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 เกิดแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย และทำให้เกิดคลื่นสึนามิในเวลาต่อมา เกิดเหตุเวลา 07.58 น. ตามเวลาในประเทศไทย ศูนย์กลางอยู่ลึกลงไปในมหาสมุทรอินเดีย ใกล้ด้านตะวันตกของตอนเหนือเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ทำให้เกิดความเสียหายบนเกาะสุมาตรา และภาคใต้ของประเทศไทย
- วันที่ 10-24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร[5]
- วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เกิดเหตุเผาทำลายสถานีตำรวจภูธรถลางท่ามกลางการใช้ มาตรา 44 แทนกฎอัยการศึก[6]ของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีผู้ต้องหาประมาณ 50 ราย[7]ทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายมาตรา 44 และพรบ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558[8]
- วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เกิดเหตุการณ์เรือล่ม 3 ลำ[9] โดยมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 47 ราย[10]
รายนามผู้ว่าราชการจังหวัด[แก้]
รายนามเจ้าเมืองถลาง[11] |
ลำดับ |
รายนาม |
ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง |
1 |
พระยาถลาง ซาร์บอนโน |
สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช |
2 |
พระยาถลาง บิลลี |
สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช |
3 |
พระยาถลางจอมสุรินทร์ |
สมัยสมเด็จพระเพทราชา |
4 |
พระยาถลาง คางเซ้ง |
สมัยสมเด็จพระเพทราชา-สมเด็จพระเจ้าเสือ |
5 |
พระยาถลางจอมเฒ่า |
สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ |
6 |
พระยาถลางจอมร้าง |
สมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ |
7 |
พระยาถลางอาด |
|
8 |
พระยาถลางชู |
2312-2314 |
9 |
พระยาสุรินทราชา (พิมลขัน) |
2314-2325 |
10 |
พระยาถลาง (ขัน) |
2335-2328 |
11 |
พระยาถลาง ทองพูน |
2328-2332 |
12 |
พระยาถลาง เทียน |
2332-2352 |
13 |
พระยาถลาง บุญคง |
2352-2360 |
14 |
พระยาถลาง เจิม |
2360-2370 |
15 |
พระยาถลาง ทอง |
2370-2380 |
16 |
พระยาถลาง ฤกษ์ |
2380-2391 |
17 |
พระยาถลาง ทับ |
2391-2405 |
18 |
พระยาถลาง คิน |
2405-2412 |
19 |
พระยาถลาง เกด |
2412-2433 |
20 |
พระยาถลาง หนู |
2433-2437 |
รายนามเจ้าเมืองภูเก็ต[11] |
1 |
เจ้าภูเก็ต เทียน |
2312-2332 |
2 |
หลวงภูเก็ต ช้างคด |
2332-ระยะเวลาพม่าเผาบ้านเมืองถลาง |
3 |
พระภูเก็ต นายศรีชายนายเวร |
ระยะเวลาพม่าเผาบ้านเมืองถลาง |
4 |
หลวงปลัด อุด |
ระยะเวลาพม่าเผาบ้านเมืองถลาง |
5 |
พระภูเก็ต แก้ว |
2370-2405 |
6 |
พระภูเก็ต ทัด |
2405-2412 |
7 |
พระยาภูเก็ต ลำดวน |
2412-2433 |
รายนามผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต |
1 |
พระยาวิสูตรสาครดิฐ (สาย โชติกะเสถียร) |
ก่อน พ.ศ. 2450 |
2 |
พระยาวิเศษสิงหนาท (ปิ๋ว บุนนาค) |
ก่อน พ.ศ. 2450 |
3 |
พระยาประชากิจกรจักร (ชุบ โอสถานนท์) |
ก่อน พ.ศ. 2450 |
4 |
พระยาณรงค์เรืองฤทธิ์ (อรุณ อมาตยกุล) |
ก่อน พ.ศ. 2450 |
5 |
หม่อมเจ้าประดิพัทธเกษมศรี |
พ.ศ. 2450–2458 |
6 |
พระยาทวีปธุระประศาสตร์ (ชุบ โอสถานนท์) |
พ.ศ. 2458–2461 |
7 |
พระยากรุงศรีสวัสดิการ (จำรัส สวัสดิชูโต) |
พ.ศ. 2461–2465 |
8 |
พระยานครราชเสนี (สหัส สิงหเสนี) |
พ.ศ. 2465–2471 |
9 |
พระศรีสุทัศน์ (ม.ล.อนุจิตร สุทัศน์) |
พ.ศ. 2471–2472 |
10 |
พระยาอมรศักดิ์ประสิทธิ์ (ทนง บุนนาค) |
พ.ศ. 2472–2476 |
11 |
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา |
พ.ศ. 2476–2476 |
12 |
พระยาสุริยเดชรณชิต |
พ.ศ. 2476–2478 |
13 |
พระยาศิริชัยบุรินทร์ (เบี๋ยน) |
พ.ศ. 2478–2479 |
14 |
พระยาอุดรธานีศรีโชมสาครเชตร |
พ.ศ. 2479–2480 |
15 |
หลวงเธียรประสิทธิสาร (ร.อ.มงคล เธียรประสิทธิ์) |
พ.ศ. 2480–2486 |
16 |
หลวงอังคณานุรักษ์ (ร.อ.ถวิล เทพาคำ) |
พ.ศ. 2486–2489 |
17 |
ขุนภักดีดำรงค์ฤทธิ์ (.....เกษีพันธ์) |
พ.ศ. 2489–2492 |
18 |
นายอุดม บุณยประสพ |
พ.ศ. 2492–2494 |
19 |
นายมาลัย หุวะนันทน์ |
พ.ศ. 2494–2495 |
20 |
ขุนจรรยาวิเศษ (เที่ยง บุญยนิตย์) |
พ.ศ. 2495–2497 |
21 |
นายมงคล สุภาพงษ์ |
พ.ศ. 2497–2500 |
22 |
นายเฉลิม ยูปานนท์ |
พ.ศ. 2500–2501 |
23 |
ขุนวรคุตต์คณารักษ์ |
พ.ศ. 2501–2501 |
24 |
นายอ้วน สุระกุล |
พ.ศ. 2501–2511 |
25 |
นายกำจัด ผาติสุวัณณ |
พ.ศ. 2511–2512 |
26 |
นายสุนัย ราชภัณฑารักษ์ |
พ.ศ. 2512–2518 |
27 |
นายศรีพงศ์ สระวาลี |
พ.ศ. 2518–2521 |
28 |
นายเสน่ห์ วัฑฒนาธร |
พ.ศ. 2521–2523 |
29 |
นายมานิต วัลยะเพ็ขร์ |
พ.ศ. 2523–2528 |
30 |
นายสนอง รอดโพธิ์ทอง |
พ.ศ. 2528–2529 |
31 |
นายกาจ รักษ์มณี |
พ.ศ. 2529–2530 |
32 |
นายเฉลิม พรหมเลิศ |
พ.ศ. 2530–2534 |
33 |
นายยุวัฒน์ วุฒิเมธี |
พ.ศ. 2534–2536 |
34 |
นายสุดจิต นิมิตกุล |
พ.ศ. 2536–2539 |
35 |
นายจำนง เฉลิมฉ้ตร |
พ.ศ. 2539–2541 |
36 |
นายเจด็จ อินสว่าง |
พ.ศ. 2541–2542 |
37 |
นายชาญชัย สุนทรมัฎฐ์ |
พ.ศ. 2542–2543 |
38 |
นายพงศ์โพยม วาศภูติ |
พ.ศ. 2543–2546 |
39 |
นายอุดมศักดิ์ อัศวรางกูร |
พ.ศ. 2546–2549 |
40 |
นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร |
พ.ศ. 2549–2551 |
41 |
นายปรีชา เรืองจันทร์ |
พ.ศ. 2551–2552 |
42 |
นายวิชัย ไพรสงบ |
พ.ศ. 2552–2553 |
43 |
นายตรี อัครเดชา |
พ.ศ. 2553–2555 |
44 |
นายไมตรี อินทุสุต |
พ.ศ. 2555–2557 |
45 |
นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ |
พ.ศ. 2557–2558 |
46 |
นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา |
พ.ศ. 2558–2559 |
47 |
นายโชคชัย เดชอมรธัญ |
พ.ศ. 2559–2560 |
48 |
นายนรภัทร ปลอดทอง |
พ.ศ. 2560–2561 |
49 |
นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ |
พ.ศ. 2561–ปัจจุบัน |
หน่วยการปกครอง[แก้]
การปกครองแบ่งออกเป็น 3 อำเภอ 17 ตำบล 104 หมู่บ้าน
พิเศษ |
1 |
อำเภอเมืองภูเก็ต |
247,115 |
224.0 |
1,103.19 |
83000, 83100, 83130 |
1 |
2 |
อำเภอกะทู้ |
58,600 |
67.09 |
873.45 |
83120, 83150 |
1 |
3 |
อำเภอถลาง |
104,496 |
252.0 |
414.67 |
83110 |
|
รวม |
402,017 |
543.034 |
740.31 |
ประชากร[แก้]
ชาวเลเป็นกลุ่มชนกลุ่มแรก ๆ ที่มาอาศัยอยู่บนเกาะภูเก็ต จากนั้นมาจึงกลุ่มชนอื่น ๆ อพยพตามมาอีกจำนวนมาก ทั้งชาวจีน ชาวไทย ชาวมาเลเซีย ฯลฯ จนมีวัฒนธรรมเฉพาะเป็นของตนเองสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นสีสันอย่างหนึ่งของภูเก็ต ตามบันทึกของฟรานซิส ไลต์ กล่าวถึงชาวภูเก็ตว่าเป็นพวกผสมผสานกันทางด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรมกับชาวมลายู โดยเฉพาะคนไทยจำนวนมากในสมัยนั้นทำตัวเป็นพุทธศาสนิกชน สักการะพระพุทธรูป ขณะที่กัปตันทอมัส ฟอร์เรสต์ ชาวอังกฤษที่เดินเรือมายังภูเก็ต ใน พ.ศ. 2327 ได้รายงานว่า 'ชาวเกาะแจนซีลอนพูดภาษาไทย ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจภาษามลายู พวกเขามีลักษณะหน้าตาคล้ายกับชาวมลายู ท่าทางคล้ายชาวจีนมาก'
ปัจจุบันชาวภูเก็ตส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ชาวจีนฮกเกี้ยน ชาวจีนช่องแคบ ชาวจีนกวางตุ้ง ฯลฯ รวมไปถึงชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม แถบอำเภอถลาง โดยเฉพาะชาวไทยมุสลิมมีจำนวนถึงร้อยละ 20-36 ของประชากรในภูเก็ต มีมัสยิดแถบอำเภอถลางราว 30 แห่งจาก 42 แห่งทั่วจังหวัด มีกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล กลุ่มอูรักลาโว้ยและพวกมอแกน (มาซิง) ซึ่งมอแกนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ มอเกนปูเลา (Moken Pulau) และ มอเกนตาหมับ (Moken Tamub) และยังมีชนกลุ่มต่างชาติอย่างชาวยุโรปที่เข้าลงทุนในภูเก็ต รวมไปถึงชาวอินเดีย มีชาวคริสต์ในภูเก็ตราว 300 คน ชาวสิกข์ที่มีอยู่ราว 200 คน และชาวฮินดูราว 100 คน และแรงงานต่างด้าวชาวพม่า ลาว และเขมรราวหมื่นคน
จากการสำรวจใน พ.ศ. 2553 พบว่าประชากรในจังหวัดภูเก็ตนับถือศาสนาพุทธร้อยละ 73, ศาสนาอิสลามร้อยละ 25, ศาสนาคริสต์และอื่น ๆ ร้อยละ 2[13] ส่วนการสำรวจใน พ.ศ. 2557 พบว่านับถือศาสนาพุทธร้อยละ 71.06 ศาสนาอิสลามร้อยละ 27.60 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 1.01 และอื่น ๆ ร้อยละ 0.33[14] และการสำรวจใน พ.ศ. 2560 พบว่านับถือศาสนาพุทธร้อยละ 68.61 ศาสนาอิสลามร้อยละ 26.65 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 0.98 นอกนั้นนับถือศาสนาอื่น[12]
สถานที่สำคัญ[แก้]
- ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต เป็นศาลากลางที่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ทั้งยังเป็นโบราณสถานที่ยังใช้การอยู่จนกระทั่งปัจจุบันอีกด้วย
- วัดฉลอง (ปัจจุบันชื่อ วัดไชยธาราราม) พ.ศ. 2419 ศิษย์พ่อท่านแช่มต่อสู้กับอั้งยี่
- วัดพระนางสร้าง มีลายแทง 'พิกุลสองสารภีดีสมอแดงจำปาจำปีตะแคง...' พระพุทธรูปดีบุกที่เก่าแก่ที่สุด ตำนานพระนางเลือดขาว
- อนุสาวรีย์ ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2509
- เกาะสิเหร่ มีชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ย (ชาวไทยใหม่) รองเง็งคณะแม่จิ้ว ประโมงกิจ เป็นแม่เพลงอันดามัน หรือราชินีรองเง็งแห่งอันดามัน มีพระพุทธไสยาสน์ บนยอดเขา วัดบ้านเกาะสิเหร่ เกาะสิเหร่ แต่เดิมชาวอุรักลาโว้ย เรียกว่า 'ปูเลา ซิเระห์' แปลว่า 'เกาะพลู' ภายหลังจึงเพี้ยนไปเป็น 'เกาะสิเหร่' ตามสำเนียงคนไทยเรียก
- ศาลเจ้ากะทู้ (อ๊ามในทู) เป็นที่แรก ที่เริ่มประเพณีถือศิลกินผัก (เจี๊ยะฉ่าย)
- ศาลเจ้าบางเหนียว ศาลเจ้าใกล้บริเวณท่าเรือที่ชาวต่างชาติรับส่งสินค้ามีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี
- ศาลเจ้าแสงธรรม หรืออ๊ามเตงก่องต๋อง ศาลเจ้าเก่าแก่แห่งหนึ่งของภูเก็ตมีสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก เป็นศาลเจ้าประจำตระกูลตัน
- ศาลเจ้าบ้านท่าเรือ หรือฮกเล่งเก้ง เป็นที่ประดิษฐานองค์พระโป๊เซ้งไต่เต่ องค์พระประธานของศาลเจ้า
- ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย หรือ จุ้ยตุ่ยเต้าโบ้เก้ง หรือ คนภูเก็ตเรียกว่า อ๊ามจุ๊ยตุ๋ย (เป็นศาลเจ้าที่มีคนร่วมงานประเพณีถือศิลกินผักมากที่สุดในจังหวัด)
- วัดพระทอง
- จุดชมวิวกะรน หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่าจุดชมวิวสามอ่าว เป็นจุดชมวิวบนเนินเขาซึ่งชื่อเล่นนั้นก็มาจากการที่สามารถมองเห็นอ่าว เห็นชายหาดได้ถึง 3 หาดจากจุดชมวิวนี้ทั้งหาดกะตะน้อย กะตะ และกะรน นอกจากนั้นยังสามารถมองเห็นน้ำทะเลไล่โทนสีอีกด้วย
- จุดชมวิวเขารัง เขารังนั้นเป็นภูเขาเตี้ยๆ ภายในตัวจังหวัด ในอดีตนั้นเรียกว่าเขาหลัง เพราะเปรียบเสมือนหลังบ้านของจังหวัดภูเก็ต ด้านบนนั้นมีสวนสาธารณะให้ประชาชนได้ไปผ่อนคลาย ซึ่งจากด้านบนจะมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวตัวเมืองภูเก็ตและทะเลภูเก็ตได้ไกลๆ สวยงามมากทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนเลย
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง มีเทวประธานคือพระวิษณุ จดหมายเหตุท้าวเทพกระษัตรี หง่อก่ากี่ ชาวเล
- ภูเก็ตแฟนตาซี ภูเก็ตแฟนตาซี ธีมปาร์ควัฒนธรรมไทยแห่งแรกของโลก ซึ่งมีหลายจุดน่าสนใจทั้งภูผาพิศวง จำลองเขาตะปูของอ่าวพังงา หมู่บ้านพรรษา ที่มีสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์หลายรูปแบบ มีการจัดแสดงชุดมหัศจรรย์กมลาที่เป็นการแสดงที่ใช้งบลงทุนทั้งในโชว์และในโรงละครวังไอยราสูงถึง 1,500 ล้านบาท
- ย่านเมืองเก่าภูเก็ต (สถาปัตยกรรมจีน-โปรตุเกส) ถนนถลาง ถนนดีบุก ถนนพังงา ถนนกระบี่ ถนนภูเก็ต ถนนรัษฎา ถนนระนอง ถนนเยาวราช ถนนเทพกระษัตรี ถนนสตูล ซอยรมณีย์ และตรอกสุ่นอุทิศ
- พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ภูเก็ต เดิมใช้ชื่อว่าพิพิธภัณฑ์เหมืองแร่กะทู้ ใน อังมอเหลามีเหมืองจำลองเหมืองแล่น เหมืองรู เหมืองหาบ เหมืองฉีด เหมือง เรือขุด; โลหะดีบุก เพชรภูเก็จ เพชรพังงา แทนทาลัม วิถีชีวิตชาวกะทู้; ภายนอกมีรางเหมืองแร่ (เหมืองสูบ-ฉีด) ขนาดใหญ่ไว้สาธิตการได้แร่ดีบุกของนายหัวเหมือง
- พระพุทธมิ่งมลคลเอกนาคคีรี พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรีหรือพระใหญ่แห่งเมืองภูเก็ต พระใหญ่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขานาคเกิด เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ สามารถสังเกตเห็นได้จากหลายจุดในภูเก็ต ผิวของพระพุทธรูปนั้นประดับด้วยหินอ่อนหยกขาวจากพม่า เป็นงานประณีตที่สวยงามมาก
- แหลมพรหมเทพ แหลมพรหมเทพ แลนด์มาร์กของจังหวัดภูเก็ต เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในประเทศไทย แหลมพรหมเทพมีลักษณะเป็นแหลมโค้งทอดตัวลงสู่ทะเล สามารถเดินลงไปที่ปลายแหลมได้ เมื่อไปถึงตรงปลายแหลมจะสามารถมองเห็นวิวด้านซ้ายเป็นหาดในยะ ส่วนด้านขวาก็จะเป็นชายหาดในหานสวยงามมากทีเดียว นอกจากตัวแหลมแล้ว เพื่อนๆ ยังสามารถไปดูประภาคารกาญจนาภิเษก ซึ่งภายในจะมีนิทรรศการเกี่ยวกับการสร้างประภาคาร
- สนามบินนานาชาติภูเก็ต อยู่ติดชายทะเลระหว่างหาดในยางและหาดไม้ขาว
- อนุสรณ์สถานเมืองถลาง อยู่ในสมรภูมิเมืองถลาง พ.ศ. 2328 ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง พื้นที่ ๙๖ ไร่ ก่อนการพัฒนาเป็นทุ่งนาหลวง มีคลองเสน่ห์โพไหลผ่านไปบรรจบกับคลองบางใหญ่ซึ่งไหลมาจากเทือกเขาพระแทวไปออกทะเลที่อู่ตะเภา ทะเลพัง เคยเป็นที่จอดเรือรบของยี่หวุ่น แม่ทัพเรือพม่าเมื่อ พ.ศ. 2328
- ฮ่ายเหลงอ๋อง พญามังกร ณ ลานเฉลิมพระเกียรติฯ 72 พรรษา มหาราชินี (อยู่ติดกับสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูเก็ต)
ภาษาถิ่น[แก้]
ภาษาถิ่นของจังหวัดภูเก็ต เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ ที่ไม่เหมือนถิ่นอื่นในภาคใต้ โดยจะมีสำเนียงภาษาจีนฮกเกี้ยน และภาษามลายูปนอยู่มาก ดังนั้นภาษาถิ่นภูเก็ตจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พบได้เฉพาะ แถบภูเก็ตและพังงา เท่านั้น ในอดีตนั้นชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในภูเก็ตนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวจีนอพยพมาจากมณฑลฮกเกี้ยน เมื่อเข้ามาอาศัยอยู่ในภูเก็ตแล้ว ก็ได้นำเอาวัฒนธรรมต่าง ๆ มากมายเข้ามาใช้ หนึ่งในนั้นก็คือ ภาษา ซึ่งในยุคแรก ๆ นั้นได้ติดต่อสื่อสารกันด้วยภาษาจีนฮกเกี้ยน ต่อมามีการค้าขายมากขึ้นต้องติดต่อกับต่างชาติมากขึ้น ชาวจีนฮกเกี้ยนบางส่วนก็ไปมาหาสู่กับปีนัง มาเลเซียบ้าง มีการค้าขายแร่ดีบุกต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้ภาษามลายูเริ่มเข้ามาผสมปนเข้าด้วยกันกับภาษาฮกเกี้ยน ทำให้เกิดเป็นภาษาที่ผสมสำเนียงเข้าด้วยกัน เป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในภูเก็ตและใกล้เคียง ภาษาฮกเกี้ยนในภูเก็ตนั้น ปัจจุบันยังคงมีใช้อยู่เพียงแต่สำเนียงอาจจะเพี้ยนไปจากภาษาฮกเกี้ยนเดิมบ้าง เพื่อปรับให้เข้ากับการออกเสียงของคนภูเก็ต ซึ่งใกล้เคียงกับภาษาฮกเกี้ยนที่ใช้กันในปีนัง มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ เนื่องจากมีการปรับเสียงให้เข้ากับสัทอักษรการออกเสียงของคนภูเก็ต บางคำในภาษาฮกเกี้ยนจึงไม่เหมือนกันภาษาฮกเกี้ยนแท้ของจีน แต่ก็ใกล้เคียง นอกจากนี้ยังพบว่าระบบไวยากรณ์ที่ใช้นั้น บ้างก็ยืมมากจากภาษาฮกเกี้ยนด้วย ภาษาภูเก็ตบ้างก็เรียก ภาษาบาบ๋า
ตัวอย่างภาษาถิ่น
การศึกษา[แก้]
โรงเรียน
ระดับอุดมศึกษา
ย่านเมืองเก่าภูเก็ต[แก้]
ซอยรมณีย์ หรือ คนภูเก็ตเรียกในภาษาจีนฮกเกี้ยนว่า ฮั่งอาหลาย (巷仔內)
พิพิธภัณฑ์โรงเรียนภูเก็ตไทยหัว
สถาปัตยกรรมในย่านการค้าเมืองเก่าภูเก็ต บนถนนถลาง ถนนดีบุก ถนนกระบี่ ถนนพังงา ถนนเยาราช และซอยรมณีย์ รวมทั้งถนนใกล้เคียง เริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงของการล่าอาณานิคมของประเทศตะวันตก และการค้าแร่ดีบุกเฟื่องฟู ในยุคนั้นภูเก็ตเป็นเมืองที่มีชาวต่างชาติ ทั้งจีน อินเดีย อาหรับ มลาย และยุโรป เข้ามาทำการค้าและอาศัยอยู่ เช่นเดียวกับเมืองท่าอื่น ๆ ในแหลมมลายู เช่น ปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ การก่อสร้างและออกแบบอาคาร จึงได้รับอิทธิพลจากนานาชาติไปด้วย ลักษณะของสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าในเมืองภูเก็ต อาจแบ่งได้ 3 ยุค คือ ยุคแรกประมาณช่วง พ.ศ. 2411-2443 เป็นช่วงของการเริ่มพัฒนาเมือง ยุคที่สอง พ.ศ. 2444-2475 เป็นช่วงของการผสมผสานรูปแบบสถาปัตยกรรมเอเชียกับยุโรป และยุคที่สาม ยุคนี้ได้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ของเมืองภูเก็ตซึ่งชาวภูเก็ตทุกคนภาคภูมิใจ และตั้งใจจะรักษาให้คงอยู่สืบไป
เมืองพี่เมืองน้อง[แก้]
บุคคลที่มีชื่อเสียงของจังหวัด[แก้]
(รายชื่อบุคคลบันเทิงดังต่อไปนี้ ไม่ได้เรียงลำดับจากอายุงานทางด้านวงการบันเทิง)
- ภัทรพล ศิลปาจารย์ (พอล) - นักจัดรายการวิทยุ, นักแสดง , นักธุรกิจ
- จริยา แอนโฟเน่ (นก) - นักแสดง, ผู้จัดละครของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
- สกาวใจ พูนสวัสดิ์ (อ๋อม) - พิธีกร,นักแสดง
- ตรีชฎา เพชรรัตน์ (ปอย) - มิสอินเตอร์เนชั่นแนลควีน 2004, นักแสดง
- วิชญาณี เปียกลิ่น (แก้มเดอะสตาร์) - ผู้ชนะการประกวดจากรายการเรียลลิตีโชว์ เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 4
- จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม (โดม) - ผู้ชนะการประกวดจากรายการเรียลลิตีโชว์ รายการเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 8
- สโรชา เย็นใส (โบวี่) - นักร้องสังกัดอาร์เอส
- อาเมเรีย จาคอป (เอมี่) - มิสทีนไทยแลนด์ 2006
- พรสุดา ถาวราภา (เจแอน) - นักร้องสังกัด (GMM GRAMMY)
- จักรกฤษณ์ อินทนา (อุ่น) เคพีเอ็น 2
- สุภาษิต วงษา (อ้น) - ผู้ชนะเลิศ To Be Number One Idol รุ่นที่2
- อันโทนี่ ทง (กาย) - รองชนะเลิศอันดับ 1 เคพีเอ็น อวอร์ด 2010, นักร้องสังกัดเคพีเอ็น
- พิทวัส พฤกษกิจ (โต้ง 2p) - นักร้องวงเซาท์ไซด์ สังกัดไทยเทเนี่ยม เอ็นเตอร์เทนเมนต์
- จิณภัค เปียกลิ่น (เกต เดอะสตาร์) - ผู้ร่วมการแข่งขันรายการเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 6, นักร้องสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
- มัฑณาวี คีแนน (ซี) - นักร้องสังกัดอาร์เอส
- ลัลณ์ลลิน เตจะสา เวศซ์ (เฌอเบลล์) - นักแสดงสังกัดเอ็กแซ็กท์
- เซลิน่า เพียซ (เซ) - นักแสดงสังกัดสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
- มาเรีย จูเลียตต้า คอนเซนติโน่ (จูเลียต) - นักแสดงสังกัดสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
- ธนนท์ จำเริญ (นนท์) - ผู้ชนะเลิศเดอะวอยซ์ไทยแลนด์ ฤดูกาลที่ 1
- ภาวิดา มอริจจิ (ซิลวี่) - ผู้เข้าร่วมการแข่งขันเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวปี 7
- วัลเณซ่า เมืองโคตร (ณฉัตร) - มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012
- เทีย ลี่ ทวีพาณิชย์พันธุ์ (เทีย) - มิสทีนไทยแลนด์ 2012, ผู้เข้าแข่งขันเอเชียเน็กซต์ท็อปโมเดล ฤดูกาลที่ 2 และ รองชนะเลิศรายการเดอะเฟซไทยแลนด์ ฤดูกาลที่ 3ผู้เขาแข่งขันรายการเดอะเฟซไทยแลนด์ ซีซั่น 4 ออลสตาร์
- โสภาพรรณ วิรุฬหมาศ (เชอร์รี่) - มิสโกลบอินเตอร์เนชันแนลไทยแลนด์ 2013
- ซูซานน่า เรโนล (ซู) - พรีเซนเตอร์โฆษณา
- ณัฐวดี ดอกกะฐิน (นัท) - เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 10
- ธนกฤต อยู่โต (โจอี้) - เป็นนักแสดงสังกัดสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
- ธัญชนก กู๊ด (แพทริเซีย) - เป็นนักแสดงสังกัดสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
- รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น (เจมส์) - พิธีกร , นักแสดง , นายแบบ , นักจัดรายการวิทยุ
- ชาวิกา วัตรสังข์ (ยิ้ม) รองชนะเลิศอันดับหนึ่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2015,Top10 ไทยซุปเปอร์โมเดลคอนเทสต์ 2012, มิสเอิร์ธไทยแลนด์ 2015
- กันติชา ชุมมะ (ติชา) - ผู้ชนะเลิศเดอะเฟซไทยแลนด์ ฤดูกาลที่ 2
- นัตยา ทองแสน (เพลงขวัญ) - รองชนะเลิศ รายการเดอะเฟซไทยแลนด์ ฤดูกาลที่ 3 นักแสดงของ เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ ภายใต้สังกัด จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
- อารียา ผลฟูตระกูล (กิ่ง) - สงครามนางงาม 2
- ชาลิสา อแมนด้า (ด้า) - นักแสดงสังกัดสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, ชนะเลิศ มิสทัวริซึมเมโทรโพลิตันอินเตอร์เนชันแนล 2016
- ปาเมล่า ปาสิเนตตี้ (แพม) - มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017
- อาร์เธอร์ อภิชาติ กานโยซ์ (อติล่า) - รองชนะเลิศ รายการเดอะเฟซเมนไทยแลนด์ ฤดูกาลที่ 1 รองชนะเลิศ รายการเดอะเฟซไทยแลนด์ ซีซั่น 4 ออลสตาร์
- วัณเลิศ รณรงค์ (เต้ ควนดินแดง ) - บุคคนยอดเยี่ยมประจำจังหวัด ครั้งที่ 45 เมื่อ 2017
ดูเพิ่ม[แก้]
ขอบคุณขอมูลจาก
https://th.wikipedia.org/wiki/จังหวัดภูเก็ต
|